สมบัติของพ่อเรา

มันเป็นเพียงมีดพกเก่าๆเล่มหนึ่งที่ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา ใบมีดบิ่นและด้ามจับมีรอยบาก แต่นั่นคือหนึ่งในสมบัติของพ่อที่ท่านเก็บไว้ในกล่องเหนือตู้เสื้อผ้าจนท่านมอบให้ผม “นี่เป็นของหนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่พ่อได้มาจากปู่ของลูก” พ่อบอกกับผม ปู่ของผมเสียตอนที่พ่อยังเด็ก และพ่อก็หวงแหนมีดเล่มนั้นเพราะท่านเทิดทูนพ่อของท่าน

พระคัมภีร์บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงมีทรัพย์สมบัติที่เราอาจไม่คาดคิด ในพระธรรมวิวรณ์เราเห็นพระที่นั่งในสวรรค์ล้อมรอบด้วย “สัตว์ทั้งสี่” และ “ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ก้มกราบนมัสการพระเยซู (บทที่ 4-5) แต่ละคนถือ “ขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8) ในสมัยโบราณเครื่องหอมเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับให้กษัตริย์ใช้ (คิดถึงทองคำ กำยานและมดยอบที่ถวายแด่พระเยซูในมัทธิว 2:11) คำอธิษฐานของเราดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับเราในเวลานี้ แต่พระเจ้าทรงต้องการให้คำอธิษฐานเหล่านั้นอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ

วิวรณ์บทที่ 5 เน้นย้ำถึงคุณค่าของพระเยซู เพราะทรงเป็นผู้ปราศจากบาปและทรงยอมสิ้นพระชนม์ด้วยความรักเพื่อพวกเรา คุณค่าของพระเยซูชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่พระเจ้าให้คุณค่ากับคำอธิษฐานของพวกเรา คำอธิษฐานของเรามีค่าสำหรับพระเจ้าเพราะพวกเราล้ำค่าสำหรับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราโดยไม่เห็นแก่พระองค์เอง ด้วยความรักที่ล้ำค่าและเปี่ยมด้วยพระคุณ พระองค์จึงปรารถนาให้เราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในการอธิษฐาน

ภาพพระเยซู

โมเสสมีเขาด้วยหรือ นั่นคือลักษณะของประติมากรรมชิ้นเอกรูปโมเสสโดยไมเคิลแองเจโลที่เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1515 เขาทั้งสองนั้นงอกออกมาเหนือหน้าผากของโมเสส

ไม่เพียงไมเคิลแองเจโล แต่ศิลปินในยุคเรอเนสซองส์และยุคกลางหลายคนก็สร้างภาพของโมเสสในลักษณะเดียวกัน สาเหตุมาจากการแปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเป็นภาษาละตินในยุคนั้น ซึ่งอธิบายใบหน้าที่ทอแสงของโมเสสหลังจากสนทนากับพระเจ้า (อพย.34:29) ในภาษาต้นฉบับใช้คำที่สอดคล้องกับคำว่า “เขา” เพื่ออธิบาย “ลำแสง” ที่ส่องสว่างบนใบหน้าของโมเสส และพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับโวลเกทแปลตามตัวอักษร ทำให้โมเสสถูกวาดภาพ “ผิดไป”

คุณเคยวาดภาพใครบางคนผิดไปบ้างไหม หลังจากเปโตรได้รักษาชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดในพระนามของพระเยซู (กจ.3:1-10) อัครทูตได้บอกคนอิสราเอลว่าพวกเขาวาดภาพพระเยซูผิดไป “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย” ท่านพูดอย่างตรงประเด็น “แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก” (ข้อ 15) ท่านกล่าวต่อว่า “แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น” (ข้อ 18) เปโตรยังบอกอีกว่า แม้โมเสสเองก็ชี้ถึงพระคริสต์ด้วย (ข้อ 22)

“โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์”คือ “ความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์” ได้ทำให้ชีวิตของชายผู้นี้เปลี่ยนแปลงไป (ข้อ 16) ไม่ว่าเราจะเคยเข้าใจพระองค์ผิดไปหรือมีเรื่องราวในอดีตมาอย่างไร พระคริสต์ทรงยินดีต้อนรับเราเสมอเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระผู้สร้างชีวิตทรงพร้อมที่จะเขียนจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับเรา

พระเจ้าไม่มีวันมองข้ามคุณ

“บางครั้งฉันก็รู้สึก...ไร้ตัวตน” คำๆนี้ซึมซาบไปในบรรยากาศขณะที่โจนี่พูดกับเพื่อนของเธอ สามีของเธอทิ้งเธอไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน ปล่อยโจนี่กับลูกเล็กๆไว้ที่บ้าน “ฉันมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขาตลอดเวลาหลายปี” เธอระบายความในใจ “และตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครที่มองเห็นฉันจริงๆ หรือจะใช้เวลาเพื่อจะรู้จักฉันอย่างแท้จริง”

“ฉันเสียใจด้วยนะ” เพื่อนของเธอตอบ “พ่อของฉันทิ้งไปตอนฉันอายุหกขวบ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราโดยเฉพาะแม่ แต่แม่พูดประโยคนี้ตอนพาฉันเข้านอนในตอนกลางคืนซึ่งฉันไม่เคยลืมเลยว่า ‘พระเจ้าไม่เคยหลับตาของพระองค์’ เมื่อฉันโตขึ้นแม่อธิบายว่า แม่ต้องการจะสอนฉันว่าพระเจ้าทรงรักฉันและทรงเฝ้าดูฉันตลอดเวลา แม้ในยามที่ฉันหลับ”

พระคัมภีร์แสดงให้เห็นถ้อยคำที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสเพื่อกล่าวแก่ประ-ชากรของพระองค์ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากขณะที่พวกเขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารซีนาย “ขอ​พระ​เจ้า​ทรง​อำนวย​พระ​พร​แก่​ท่าน และ​พิทักษ์​รักษา​ท่าน ขอ​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์​ทอ​แสง​แก่​ท่าน และ​ทรง​พระ​กรุณา​ท่าน ขอ​พระ​เจ้า​ทรง​เงย​พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์​เหนือ​ท่าน และ​ประทาน​สวัสดิภาพ​แก่​ท่าน” (กดว.6:24-26) โดยที่ปุโรหิตจะเป็นผู้กล่าวพรนี้แก่ประชาชน

แม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิตที่เราสงสัยว่าจะมีใครมองเห็นเราหรือเข้าใจเราจริง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ความโปรดปรานของพระเจ้า คือพระพักตร์ที่ทอแสงและความรักมั่นคงของพระองค์จะหันไปทางผู้ที่รักพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ความเจ็บปวดทำให้เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ ก็ไม่มีใครไร้ตัวตนสำหรับพระเจ้า

การเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า

“ความบาปของคุณมีส่วนในการตรึงพระเยซูบนกางเขนหรือไม่” นี่ดูเหมือนจะเป็นคำถามของเร็มบรันท์จิตรกรชาวดัตช์ที่ปรากฏอยู่ในผลงานชิ้นเอกในปีค.ศ. 1633 ที่ชื่อว่า ยกกางเขน (The Raising of the Cross) พระเยซูปรากฏอยู่ตรงกลางของภาพบนกางเขนที่กำลังถูกยกขึ้นและวางให้ตรงตำแหน่ง มีชายสี่คนเป็นผู้ยกแต่มีคนหนึ่งที่โดดเด่นในแสงเงาที่อยู่รอบพระเยซู เสื้อผ้าของเขาต่างออกไป เขาใส่ชุดในสมัยของเร็มบรันท์และใส่หมวกที่จิตรกรมักจะใส่ เมื่อมองดูใบหน้าใกล้ๆทำให้เห็นว่าเร็มบรันท์วาดภาพตัวเองลงไปด้วย ราวกับจะพูดว่า “ความบาปของข้าพเจ้ามีส่วนในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู”

แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่โดดเด่นออกมาเช่นกัน เขาอยู่บนหลังม้ามองตรงออกมาจากรูปภาพ บางคนคิดว่านี่เป็นอีกรูปของตัวเร็มบรันท์ที่กำลังตั้งคำถามด้วยสายตาหยั่งรู้กับทุกคนที่มองดูภาพนี้อยู่ว่า “คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ”

เปาโลมองเห็นตัวท่านเองในนั้น และอาจเป็นเราด้วยเช่นกัน เพราะพระเยซูทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อเราด้วย ในโรม 5:10 ท่านพูดถึงตัวเองและพวกเราว่าเป็น “ศัตรูของพระเจ้า” แต่แม้ความบาปของเราเป็นเหตุให้พระเยซูสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็ยังทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8)

เรายืนอยู่ในสถานะเดียวกับเร็มบรันท์และเปาโล คือเป็นคนบาปที่ต้องการการอภัย โดยทางกางเขนของพระเยซู พระองค์ได้หยิบยื่นสิ่งที่เราไม่มีวันทำได้ด้วยตัวเองและเติมเต็มความต้องการที่ลึกที่สุดของเรา นั่นคือการเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า

ผู้ให้กำลังใจ

“กำลังใจแบบจัดเต็ม” นั่นคือวลีที่ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน ใช้เพื่อบรรยายถึงกำลังใจที่ี ซี.เอส.ลูอิส ผู้เป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานของเขา ได้มอบให้ในขณะที่เขาเขียนมหากาพย์ไตรภาคเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานเขียนชุดนี้ต้องใช้ความอุตสาหะและพิถีพิถันมาก และตัวเขาเองต้องพิมพ์ต้นฉบับที่ยาวมากนี้ มากกว่าสองครั้ง เมื่อเขาส่งต้นฉบับนั้นไปให้ลูอิส ลูอิสก็ตอบว่า “สมแล้วกับที่คุณใช้เวลาเขียนนานหลายปี”

ผู้ให้กำลังใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในพระคัมภีร์น่าจะเป็นโยเซฟจากไซปรัส หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบารนาบัส (แปลว่า “ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ”) ซึ่งเป็นชื่อที่อัครทูตตั้งให้ท่าน (กจ.4:36) บารนาบัสเป็นผู้แก้ต่างให้เปาโลต่อบรรดาอัครทูต (9:27) ต่อมาเมื่อผู้เชื่อที่ไม่ใช่ชาวยิวเริ่มมาเชื่อในพระเยซู ลูกาบอกเราว่าบารนาบัส “ก็ปีติยินดีจึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งใจมั่นคงติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า (11:23) ลูกาอธิบายว่าเขาเป็น “คนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ” และเพิ่มเติมอีกว่าเพราะเขา “คนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 24)

คำพูดที่ให้กำลังใจมีคุณค่าเกินกว่าจะวัดได้ เมื่อเรามอบถ้อยคำแห่งความเชื่อและความรักแก่ผู้อื่น พระเจ้าผู้ทรงประทาน “ความชูใจนิรันดร์” (2 ธส.2:16) อาจทำงานผ่านสิ่งที่เราแบ่งปันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนตลอดไป ขอพระองค์ทรงช่วยเรามอบ “กำลังใจแบบจัดเต็ม” ให้กับใครสักคนในวันนี้

ความเมตตาที่ไม่อาจวัดได้

ขณะที่เพื่อนสองคนกำลังเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาอยู่ในร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกเขาได้เจอกับนักบาสเกตบอลคนดังชาคีลล์ โอนีล พวกเขารู้ว่าโอนีลเพิ่งจะเผชิญกับการสูญเสียน้องสาวและอดีตเพื่อนร่วมทีม พวกเขาจึงพูดแสดงความเสียใจด้วยความรู้สึกเห็นใจ เมื่อชายสองคนกลับไปเลือกซื้อของต่อ ชาคีลล์เดินเข้าไปหาและบอกให้พวกเขาเลือกคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดโดยเขาได้จ่ายเงินให้ชายทั้งสอง เพียงเพราะทั้งสองมองเห็นตัวเขาในฐานะคนคนหนึ่งที่กำลังผ่านช่วงเวลายากลำบากและชาคีลล์ซาบซึ้งในความดีนั้น

กว่าหนึ่งพันปีก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ซาโลมอนเขียนไว้ว่า “ผู้ที่มีใจเมตตากรุณาก็นำประโยชน์สุขมาให้ตนเอง” (สภษ.11:17 TNCV) เมื่อเรานึกถึงความต้องการของผู้อื่นและให้ความช่วยเหลือและหนุนใจพวกเขา เราก็ได้รับรางวัลเช่นกัน ซึ่งอาจไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือสิ่งของอื่นๆ แต่พระเจ้าทรงมีวิธีอวยพรเราในแบบที่โลกนี้ไม่สามารถวัดได้ ดังที่ซาโลมอนอธิบายในข้อก่อนหน้าว่า “หญิงผู้มีใจกรุณาย่อมได้รับความนับถือ ส่วนชายใจร้ายย่อมได้แต่เงินเท่านั้น” (ข้อ 16 TNCV) มีของขวัญจากพระเจ้าที่ล้ำค่ามากกว่าเงินทอง และพระองค์ทรงวัดค่านั้นด้วยพระเมตตาตามวิถีและพระปัญญาอันสมบูรณ์แบบของพระองค์

ความกรุณาและความเมตตาเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และพระองค์ทรงรักที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาในชีวิตและจิตใจของเรา ซาโลมอนสรุปไว้อย่างดีว่า “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ” (ข้อ 25)

รักกว้างใหญ่เกินขอบเขต

“พระเจ้าทรงดีต่อเรามาก! ฉันอยากขอบคุณพระองค์สำหรับวันครบรอบแต่งงานของเรา” เทอร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและน้ำตาที่คลอเบ้าซึ่งแสดงถึงความจริงใจของเธอ พี่น้องในกลุ่มย่อยของเรารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เรารู้ว่าเทอร์รี่และสามีต้องเจออะไรบ้างในช่วงหลายปีมานี้ แม้จะเป็นผู้เชื่อ แต่โรเบิร์ตต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยรุนแรงทางจิตอย่างกะทันหันและได้คร่าชีวิตลูกสาววัยสี่ขวบของตัวเอง เขาถูกควบคุมตัวในสถานบำบัดเป็นเวลาหลายสิบปี แต่เทอร์รี่ไปเยี่ยมเขา และพระเจ้าทรงเยียวยาบาดแผลและช่วยให้เธอสามารถยกโทษให้เขาได้ แม้พวกเขาจะปวดร้าวใจอย่างมาก แต่ความรักที่พวกเขามีให้กันนั้นยิ่งทวีมากขึ้น

ความรักและการให้อภัยเช่นนี้มาจากแหล่งเดียวเท่านั้น ดาวิดเขียนถึงพระเจ้าไว้ว่า “พระองค์มิได้ทรงกระทำต่อเราตามเรื่องบาปของเรา…ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดของเราจากเราไปไกลเท่านั้น” (สดด.103:10, 12)

พระเมตตาที่พระเจ้าสำแดงต่อเรานั้นมาจากความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ “เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์...ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น” สำหรับเรา (ข้อ 11) ความรักนี้ลึกซึ้งจนทำให้พระองค์ยอมไปที่ไม้กางเขนและลงไปยังแดนมรณาเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดสิ้น และเพื่อพระองค์จะสามารถนำทุกคนที่ “ต้อนรับพระองค์” (ยน.1:12) กลับมาหาพระองค์

เทอร์รี่พูดถูก “พระเจ้าทรงดีต่อเรามาก!” ความรักและการให้อภัยของพระองค์แผ่ขยายไปไกลเกินขอบเขตที่เราจะจินตนาการได้ และเป็นความรักที่ให้ชีวิตนิรันดร์แก่เรา

เมื่อการเชื่อคือการมองเห็น

“ฉันไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ฉันเห็นเลย!” คาริภรรยาของผมเรียกผมไปที่หน้าต่างและชี้ให้ดูกวางสาวตัวหนึ่งในป่านอกรั้วบ้านของเราที่กำลังกระโดดจากสนามหญ้าฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ที่รั้วด้านในพวกสุนัขตัวโตของเราก็กำลังวิ่งตามไปข้างๆโดยไม่ได้เห่า พวกมันกระโดดไปมาแบบนั้นอยู่เกือบชั่วโมง เมื่อกวางหยุดและหันหน้ามามองเจ้าสุนัข พวกมันก็หยุดด้วย นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของผู้ล่าและเหยื่อเลย ทั้งกวางและสุนัขกำลังเล่นด้วยกัน พวกมันสนุกที่ได้อยู่ด้วยกัน!

สำหรับคาริและผมแล้ว การวิ่งเล่นตอนเช้าของพวกมันทำให้เราเห็นภาพอาณาจักรของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องอาณาจักรของพระองค์ว่า “ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่” (อสย.65:17) และท่านกล่าวว่า “สุนัขป่าและลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน สิงห์จะกินฟางเหมือนวัว” (ข้อ 25) ไม่มีผู้ล่า ไม่มีเหยื่อ มีแต่มิตรสหาย

ดูเหมือนถ้อยคำของอิสยาห์จะแสดงให้เราเห็นว่าจะมีบรรดาสัตว์ในอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้า และชี้ให้เราเห็นถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมต่อสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง โดยเฉพาะ “สำหรับคนที่รักพระองค์” (1 คร.2:9) ช่างเป็นสถานที่อันงดงามจริงๆ! เมื่อเราวางใจในพระองค์ด้วยความเชื่อ พระเจ้าจะทรงเปิดดวงตาของเราสู่ความเป็นจริงที่กำลังจะมาถึง ซึ่งก็คือความปลอดภัยและสันติสุขในการทรงสถิตของพระองค์ตลอดไป!

ถูกตัดสินว่าผิดและได้รับการปลดปล่อย

“ผมไม่ได้ทำ!” นั่นเป็นคำโกหก และผมเกือบจะรอดไปได้จนกระทั่งพระเจ้าทรงหยุดผม ตอนผมอยู่มัธยมต้น ผมเป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่พ่นลูกปืนกระดาษอัดเข้าใส่ด้านหลังวงดนตรีของเราในระหว่างการแสดง ผู้อำนวยการของเราเป็นอดีตนาวิกโยธินและขึ้นชื่อในเรื่องการทำโทษ และผมก็กลัวเขามาก ดัง​นั้นเมื่อ​เพื่อนที่ร่วมทำผิดฟ้องว่าผมมีส่วน ผมจึง​โกหก​เขา​เรื่อง​นี้ จากนั้นผมก็โกหกพ่อด้วยเช่นกัน

แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้เรื่องโกหกดำเนินต่อไป พระองค์ทรงทำให้ผมรู้สึกผิดมากในเรื่องนี้ หลังจากทนอยู่หลายสัปดาห์ ผมก็ยอมจำนน ผมขอการยกโทษจากพระเจ้าและจากพ่อ ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ไปบ้านผู้อำนวยการและสารภาพทั้งน้ำตา ผมรู้สึกขอบคุณที่เขากรุณาและและยกโทษให้

ผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกที่ดีจริงๆ เมื่อภาระนั้นถูกยกออกไป ผมเป็นอิสระจากการแบกความรู้สึกผิดเอาไว้้ และมีความสุขเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ดาวิดเองก็บรรยายถึงช่วงเวลาแห่งการลงโทษและการสารภาพบาปผิดในชีวิตของท่านด้วยเช่นกัน ท่านทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป...พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน” และกล่าวต่อไปว่า “ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์” (สดด.32:3-5)

การดำเนินชีวิตในความจริงสำคัญต่อพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราสารภาพบาปต่อพระองค์ และขอการยกโทษจากผู้ที่เรากระทำผิดต่อเขาด้วย “แล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์” ดาวิดประกาศ (ข้อ 5) เป็นการดีสักเพียงใดที่ได้รู้จักกับเสรีภาพแห่งการยกโทษจากพระเจ้า!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา